บทความจาก bangkokbiznews
ความแข็งแกร่งของ “เศรษฐกิจดิจิทัล” ล้วนตั้งอยู่บนพื้นฐานของระบบที่เชื่อถือได้….
ณัฐวิชช์ ว่องสิทธิโรจน์ หัวหน้าฝ่ายเทคนิคประจำภูมิภาค แมเนจเอนจิ้น (ManageEngine) เปิดมุมมองว่า เทคโนโลยีอย่างคลาวด์ คอมพิวติ้ง ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และบิ๊กดาต้า ล้วนต้องการความมั่นคง เสถียรภาพ การขยายตัวที่ยืดหยุ่น และการรักษาความปลอดภัยที่เข้มแข็ง
อย่างไรก็ตาม องค์กรจำนวนไม่น้อยในประเทศไทยยังคงเผชิญกับข้อจำกัดด้านโครงสร้างพื้นฐาน ตั้งแต่ การขาดการมองเห็นเครือข่ายอย่างรอบด้าน การแก้ปัญหาที่ล่าช้า ไปจนถึงช่องโหว่ด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ที่ยังคงมีอยู่

ทบทวน ‘ยุทธศาสตร์ไอที’ วางรากฐานอนาคตดิจิทัลประเทศไทย
เมื่อทีมไอทีขาดความสามารถในการมองเห็นเครือข่ายแบบเรียลไทม์ ปัญหาเล็กๆ อาจลุกลามกลายเป็นความเสียหายครั้งใหญ่ได้โดยไม่รู้ตัว คอขวดของระบบหรือกระบวนการที่ทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพมักถูกมองข้ามไปจนกว่าจะนำไปสู่การหยุดชะงักของระบบอย่างเต็มรูปแบบ
แนวทางการทำงานเชิงรับเช่นนี้ไม่เพียงทำให้การแก้ไขปัญหาล่าช้าและยืดเวลาการหยุดระบบออกไป แต่ยังสร้างความไม่พอใจให้กับผู้ใช้งาน ขัดขวางการดำเนินธุรกิจ และเสี่ยงต่อการสูญเสียรายได้จำนวนมหาศาล
นอกจากนี้ การติดตามระบบที่ไม่ทั่วถึงและการขาดระบบอัตโนมัติ ยังเปิดช่องให้เผชิญกับภัยคุกคามทางไซเบอร์ได้ง่ายขึ้น ไม่ว่าจะเป็นแรนซัมแวร์ การรั่วไหลของข้อมูล หรือมัลแวร์ ที่ปัจจุบันไม่ใช่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นครั้งคราว แต่ได้กลายเป็นความเสี่ยงที่เกิดขึ้นทุกวัน
หากไม่สามารถบริหารจัดการได้อย่างมีประสิทธิภาพ องค์กรจะเสี่ยงต่อการไม่ปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านกฎระเบียบ เผชิญโทษปรับมหาศาล และที่สำคัญคือทำลายความเชื่อมั่นจากลูกค้าและพันธมิตรทางธุรกิจ
ดึงพลัง ‘AI’ ท้าทายคอขวดไอที
สำหรับกุญแจสำคัญในการแก้ไขความท้าทายเหล่านี้คือ “การสร้างการมองเห็นแบบองค์รวม (Holistic Visibility)” เช่น การใช้แดชบอร์ดแบบรวมศูนย์ที่ขับเคลื่อนด้วย AI (AI-powered Unified Dashboards) ที่ครอบคลุมทั้ง “IT stack” การมีระบบติดตามโครงสร้างพื้นฐานแบบ Full-Stack ช่วยให้ทีมไอทีเข้าถึงข้อมูลการทำงานของเครือข่าย แอปพลิเคชัน และดาต้า ได้แบบเรียลไทม์และครบถ้วนจากต้นทางถึงปลายทาง
ระดับความชัดเจนเช่นนี้จะทำให้องค์กรสามารถตรวจจับคอขวดได้ตั้งแต่เนิ่นๆ ติดตามเส้นทางของข้อมูลอย่างมั่นใจ และตอบสนองต่อสัญญาณเตือนก่อนที่จะกระทบต่อผู้ใช้งาน
โดยผลลัพธ์ที่ได้อาจสร้างการเปลี่ยนแปลงอย่างแท้จริง ระบบ failover และการสำรองข้อมูล สามารถทดสอบได้อย่างต่อเนื่อง ลดความเสี่ยงของการสูญหายของข้อมูลหรือการหยุดชะงักที่ยาวนานเมื่อต้องเผชิญกับความล้มเหลวของฮาร์ดแวร์ การโจมตีทางไซเบอร์ หรือเหตุขัดข้องอื่นๆ
นอกจากนี้ กระบวนการกู้คืนแบบอัตโนมัติ ยังสามารถทำงานได้รวดเร็วยิ่งขึ้น ลดการพึ่งพาการแก้ปัญหาด้วยมือ และลดความเสี่ยงจากความผิดพลาดของมนุษย์
ขณะเดียวกัน การมองเห็นแบบครบวงจรยังช่วยให้การปฏิบัติตามข้อกำหนดง่ายขึ้น ด้วยภาพรวมที่ชัดเจนของการจัดการแอปพลิเคชันและข้อมูลช่วยสนับสนุน การกำกับดูแลที่เข้มแข็งขึ้น ความปลอดภัยที่รัดกุมกว่าเดิม และสร้างความเชื่อมั่นที่มากขึ้น
ก้าวสู่ ‘ผู้นำเศรษฐกิจดิจิทัล’ อาเซียน
เมื่อครั้งที่ประเทศไทยเปิดตัววิสัยทัศน์ “Ignite Thailand” ก็ได้ส่งสัญญาณที่ชัดเจนไปยังสายตาทั่วโลกแล้วว่า ประเทศพร้อมก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำเศรษฐกิจดิจิทัลแห่งอาเซียน
โดยอาศัยพื้นฐานจากนโยบาย Thailand 4.0 และ แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมดิจิทัล (พ.ศ. 2561–2580) รัฐบาลได้วางโรดแมปที่มุ่งผลักดันให้ อุตสาหกรรมดิจิทัลมีสัดส่วนต่อจีดีพีสูงถึง 30% ภายในปี 2573
การขับเคลื่อนดังกล่าวได้รับแรงหนุนจากการลงทุนครั้งใหญ่ในโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลที่มีประสิทธิภาพสูง การดำเนินนโยบายคลาวด์เฟิร์สครอบคลุมทั่วประเทศ และความมุ่งมั่นต่อดาต้าเซ็นเตอร์ที่ได้รับการออกแบบให้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม (Green) และยั่งยืน

นอกจากนี้ยังพบว่าบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีระดับโลกและนักลงทุนในประเทศต่างตอบรับด้วยการอัดฉีดเงินทุนใหม่มูลค่าหลายแสนล้านบาท โดยเม็ดเงินจำนวนมากไหลเข้าสู่เขตโครงการระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ซึ่งกำลังกลายเป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์สำหรับการพัฒนา ไฮเปอร์สเกล ดาต้าเซ็นเตอร์ ในปี 2568 คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ได้อนุมัติโครงการศูนย์ดาต้าเซ็นเตอร์และโฮสติ้งใหม่ถึง 27 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 240,000 ล้านบาท คิดเป็นกำลังการประมวลผลด้านไอทีเพิ่มขึ้นกว่า 1,300 เมกะวัตต์
มากกว่านั้นเพื่อเสริมความน่าดึงดูดใจของประเทศไทยให้มากยิ่งขึ้น รัฐบาลยังได้ออกมาตรการส่งเสริมการลงทุนที่จูงใจอย่างยิ่ง อาทิ การยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลนานสูงสุด 8 ปี สิทธิการถือครองหุ้นโดยนักลงทุนต่างชาติได้ 100% สิทธิการถือครองที่ดิน และการอนุมัติใบอนุญาตสำหรับผู้เชี่ยวชาญต่างชาติผ่านระบบเร่งรัด
‘วิสัยทัศน์ที่ยิ่งใหญ่’ ไม่ใช่คำตอบ
มีตัวเลขที่คาดการณ์ว่า ตลาดดาต้าเซ็นเตอร์ของไทยมีแนวโน้มเติบโตจาก 1.56 พันล้านดอลลาร์ในปี 2567 เป็น 3.19 พันล้านดอลลาร์ภายในปี 2573 ความสำเร็จขึ้นอยู่กับว่า โครงสร้างพื้นฐานเบื้องหลังการลงทุนเหล่านี้สามารถสร้างความเชื่อถือได้ ความปลอดภัย และประสิทธิภาพ ตามความทะเยอทะยานของประเทศได้หรือไม่
นี่คือจุดที่พันธมิตรทางเทคโนโลยีที่เหมาะสมเข้ามามีบทบาทสำคัญ ด้วยการสนับสนุน การมองเห็นแบบ Full-Stack การติดตามแบบเรียลไทม์ และแดชบอร์ดที่ขับเคลื่อนด้วย AI องค์กรสามารถสร้างสภาพแวดล้อมไอทีที่รองรับการเติบโต ปกป้องข้อมูล และสร้างความเชื่อมั่นต่อสาธารณะ
สิ่งสำคัญคือผู้นำต้องพิจารณาว่ารากฐานดิจิทัลขององค์กรมีความยืดหยุ่นเพียงพอที่จะตอบสนองความต้องการในวันข้างหน้าหรือไม่
ท้ายที่สุดคำถามคือประเทศไทยจะสามารถสร้างรากฐานโครงสร้างพื้นฐานไอทีที่ยืดหยุ่นพอจะรองรับการเติบโตทางดิจิทัลครั้งใหญ่ได้หรือไม่?
เพราะหากปราศจากโครงสร้างพื้นฐานที่เชื่อถือได้แม้แต่วิสัยทัศน์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดก็ไม่อาจทำให้บริการออนไลน์เดินหน้าได้อย่างต่อเนื่อง ปกป้องข้อมูลสำคัญ หรือมอบประสบการณ์ดิจิทัลที่ราบรื่นตามที่ประชาชนคาดหวังได้